ชาเขียวรักษาโรคต่างๆ ได้จริงหรือ

หากเราจะพูดถึงชาต่างๆ แล้วนั้น เราก็มักจะนึกถึงสรรพคุณที่ครอบจักรวาลของเหล่าชาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคลำไส้ ชะลอความแก่ และทำให้สดชื่นตลอดวัน เป็นต้น โดยเฉพาะชาเขียวที่มีประโยชน์มากที่สุดในบรรดาชา แต่ก็ยังมีบางคนที่สงสัยว่า สรรพคุณมากขนาดนี้ทำไม่ยังต้องใช้ยารักษาแผนปัจจุบันกันอยู่ล่ะ ไม่ดื่มชาแทนไปเลยล่ะ เนื่องมาจากว่าการจะดื่มชาให้ได้คุณประโยชน์ครบถ้วนดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้วนั้น เราต้องดื่มอย่างน้อย 5 – 6 แก้วต่อวัน อีกทั้งยังต้องดื่มตอนร้อนและวิธีชงชาก็ซับซ้อนนัก ชงผิดก็ไม่อร่อย ท้องผูกได้อีกต่างหาก ดังนั้นการดื่มชาเขียวหรือชาต่างๆ จึงเกิดขึ้นเฉพาะกลุ่มเท่านั้น และหลายๆ คนก็ยังสงสัยว่าสรรพคุณที่ว่ามานี้ มีจริงหรือไม่ ทำให้มีหลายสำนักแพทย์และนักวิจัยต่างๆ พากันหาข้อพิสูจน์ กันมาอย่างยาวนานแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่ารักษาโรคเหล่านี้ให้หายขาดได้หรือ ทำได้เพยงเฝ้าดูไปในระยะเท่านั้น แต่ในระยะสั้นๆ ที่การดื่มชาเขียวดูจะได้ผลที่สุดก็คือการดับกลิ่นปากป้องกันผุและทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วย ถ้าหากเราดื่มได้ทุกวันก็จะยิ่งดี แต่ต้องแบบร้อนเท่านั้นจึงจะเห็นผลได้อย่างชัดเจน และที่ชาเขียวนั้นมีสรรพคุณมากกว่าชาอื่นในตระกูลเดียวกันก็เพราะเนื่องมาจากกรรมวิธีในการผลิตและการเก็บ ซึ่งที่ชาเขียวนั้นจะใช้วิธีการอบแทนการหมัก ทำให้สารอาหารไม่จางหายไป แต่ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์นานัปการเช่นนี้ แต่การดื่มมากเกินไปก็อาจส่งผลทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมาได้ในภายหลัง ควรดื่มให้พอดีไม่มากไปน้อยไปจะดีที่สุด

มีดีก็ย่อมมีเสีย โทษของการดื่มชาที่มากเกินไป

การดื่มชาถือว่าเป็นวัฒนธรรมอันเก่าแก่อย่างหนึ่งในโลก และมีหลายๆ ประเทศอย่างจีน อินเดีย ญี่ปุ่นและอังกฤษ ที่มีวัฒนธรรมนี้มาอย่างนาวนาน และชานั้นก็มีสรรพคุณรักษาโรคได้มากกว่า คนในสมัยก่อนมักนิยมนำชามาเป็นยารักษาโรค แม้กระทั่งพระจีนในหลายๆ วัดก็ยังมีการรักษาโรคด้วยชาอยู่ แต่อะไรที่มากเกินก็ย่อมส่งผลเสียได้ด้วยเช่นกัน การดื่มชาในช่วงเช้าตอนตื่นนอนหรือในขณะที่ท้องยังว่างจะทำให้เป็นโรคขาดสาร เพราะร่างกายจะสูญเสียการดูดซึมอาหาร ไม่ควรดื่มชาแทนอาหารเช้า ดังนั้นจึงควรดื่มชาหลังจากทานอาหารไปแล้วนาน 2 – 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หรืออาจจะดื่มในระหว่างอาหารก็ได้ ขอเพียงท้องไม่ว่างขณะที่ดื่มชาก็พอ แต่คนที่เป็นโรคกระเพาะอักเสบก็ไม่ควรดื่มชาเพราะชาจะไปกระตุ้นน้ำย่อยให้ทำงานมากขึ้น และผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ อาการใจสั่นและมือสั่น การดื่มชาจะทำให้อาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งสตรีมีครรภ์และเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรดื่มอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นประจำเดือน ในช่วงเวลานั้นๆ ควรเหลีกเลี่ยงการดื่มชาเขียวเพราะจะทำให้เป็นโลหิตจาง เนื่องจากร่างกายสูญเสียธาตุเหล็ก รวมไปถึงผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงให้นมบุตรก็ไม่ควรดื่มชาเช่นเดียวกัน เพราะจะไปยับยั้งการหมุนเวียนของน้ำนม และถึงแม้ว่าการดื่มชาร้อนนั้นจะได้ประโยชน์มากกว่าดื่มชาเย็น แต่กระนั้นก็ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดเพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย ดังนั้นอะไรที่มากเกินไปก็ส่งผลให้เกิดความเสียหายได้ ต้องใช้ให้พอดีอย่างเหมาะสมไม่มากไปไม่น้อยเกินไปจะดีที่สุด ชามีคุณสมบัติทำให้ตื่นตัว ดังนั้นสำหรับคนที่มีอาการนอนไม่หลับไม่ควรอย่างยิ่งที่จะดื่มชา